วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทินครั้งที่ 14
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2561
หลังจากที่เราเรียนเรื่องอาหารและโภชนาการไปเรียบร้อย ก็มาสู่การปฎิบัติจริง อาจารย์ให้พวกเราลงพื้นที่ไปที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม
โดยให้แบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม และให้คิดเมนูอาหาร

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

บันทึกอนุทินครั้งที่ 13
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561
หลักของโภชนาการได้จัดแบ่งอาหารออกเป็นหมู่ได้ 5 หมู่ ได้แก่
        อาหารหมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง ช่วยสร้างเสริมและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ
อาหารหมู่ที่ 2 ข้าว หัวเผือก หัวมัน แป้ง น้ำตาล ให้พลังงานความอบอุ่น
อาหารหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวและพืชผักต่างๆ ให้วิตามิน เกลือแร่และเส้นใย
อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ ให้วิตามินและเกลือแร่
อาหารหมู่ที่ 5 ไขมัน น้ำมันจากพืชและสัตว์ ให้พลังงานและความอบอุ่น
  การจัดอาหารที่มีคุณค่าตามหลักโภชนาการให้แก่เด็ก จะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ ซึ่งเด็กต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

อาหารที่มีโทษเป็นพิษภัยแก่เด็ก
ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูปสำหรับริโภคมีมากมายในตลาด ซึ่งผู้ผลิตคำนึง ถึงความสะดวกของผู้บริโภคเป็นหลัก สามารถเก็บไว้ได้นาน ในทุกอุณหภูมิ มีรสชาติถูกปากผู้บริโภค ผู้ผลิตโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อว่าอาหารนั้นๆ ดี มีคุณค่า อร่อย ทันสมัย หากผู้บริโภคหลงเชื่อโดยมิได้ไตร่ตรองหรือขาดความรู้ด้านโภชนาการ ก็จะรับประทานอาหารนั้นจนลืมคิดไปว่าการที่จะทำให้อาหารนั้นๆ คง สภาพความอร่อย ความหอม ความมัน ความหวาน คงสีสันไว้ได้ตลอด นั้นต้องอาศัยสารเคมีช่วยในการปรุงแต่งรูป รส กลิ่น และสี ให้คงเดิม วัตถุเหล่านี้เองที่เป็นอันตรายได้ สิ่งที่ผู้ผลิตตั้งใจใส่ในอาหารสำเร็จรูป เราเรียกว่า 
“วัตถุเจือปนอาหาร” เช่น กรดน้ำส้ม สารให้ความหวาน   ผงชูรส เป็นต้น
  วัตถุหรือสารเคมีที่พบปะปนโดยที่ผู้ผลิตไม่ได้ตั้งใจใส่ในอาหาร เรียกว่า “วัตถุปนเปื้อน” เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เป็นต้น
ปัญหาการขาดสารอาหารและการแก้ไขปัญหาการขาดสารอาหารในเด็ก
¢การขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งจากความบกพร่องของการบริโภค อาหาร จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกายกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร ยิ่งเมื่อเกิดในเด็กวัยที่กำลังเจริญเติบโต คือ อายุระหว่างแรกเกิดจนถึง 5 ปี ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของอนาคตแล้ว ก็ยิ่งเป็นปัญหาที่เลวร้ายมากที่สุด การ ขาดสารอาหารในวัยเด็กจะทำให้เกิดความชะงักของการเจริญเติบโตเด็กจะ แคระแกร็น ส่งผลกระทบต่อระบบสมอง เนื่องจากมีการค้นพบว่า สมองของ คนเราจะเจริญอย่างรวดเร็วถึง90% ในช่วง 2 ปีแรกของชีวิต ต่อจากนั้นจะ เจริญต่อไปจนอายุ 5 ปีหากช่วงอายุดังกล่าวเด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน นอกจากร่างกายเจริญเติบโตไม่ดีแล้ว สมองก็จะเจริญเติบโตไม่เต็มที่ด้วย



หลักการจัดอาหารที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก

¢หลักการจัดอาหารที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นผู้เลียงดูเด็กควรคำนึงถึงการจัดอาหารให้เหมาะสมกับสภาพและวัยของแต่ละบุคคลโดยคำนึงถึงความต้องการสารอาหาร ประโยชน์ที่จะได้รับจากสารอาหาร ปริมาณของอาหารที่ควรได้รับ และพิษภัยของอาหาร เด็กที่ได้รับอาหารที่ดีมีคุณภาพ ได้รับอาหารเพียงพอ มีสารอาหารคบถ้วนตามความต้องการ จะมีสุขภาพอนามัยทีสมบูรณ์ มีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ เป็นปกติ แต่หากเด็กคนใดไม่ได้รับอาหารที่ดี ไม่เพียงพอ อาหารไม่มีคุณภาพ จะเกิดภาวะขาดสารอาหาร สุขภาพอนามัยไม่สมบูรณ์ รูปร่างแคระแกร็น เติบโตช้า พัฒนาการไม่สมวัย สภาพร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้พฤติกรรมผิดปกติไปด้วย 
¢ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปี ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตและการมีพัฒนาการใน ทุก ๆ ด้านของชีวิตเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว หากเด็กได้รับการเลี้ยงดู ได้รับอาหารอย่างเพียงพอและถูกต้องจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ในที่นี้ควรทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า การเจริญเติบโตและพัฒนาการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร การเจริญเติบโต หมายถึง การะบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ ทั้งด้านการเพิ่มขนาดของร่างกายทุกส่วนหรือเฉพาะส่วน สามารถวัดได้ เช่นน้ำหนัก ความสูง ขนาด ความหนาแน่น เป็นต้น
ข้อปฏิบัติในการจัดเตรียมอาหารของเด็กในวัยทารก
      1) ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนจับต้องอาหาร
2) ใช้ภาชนะที่สะอาด โดยจัดเก็บอย่างมิดชิดไม่ให้แมลงวันหรือแมลงอื่น ๆ ไต่ตอม
3) อาหารที่ปรุงทุกชนิดต้องล้างให้สะอาด ภาชนะที่ใช้ในการหุงต้มและประกอบอาหาร เช่น หม้อ กระทะ จาน ชาม มีด ต้องล้างให้สะอาดก่อนและหลังใช้ทุกครั้ง แยกภาชนะของเด็กและผู้ใหญ่รวมไปถึงมือของผู้ปรุงอาหารก็ต้องสะอาดด้วย
4) อาหารและน้ำจะต้องสุกทั่วถึงและทิ้งระยะเวลาให้อุ่นลง ไม่ร้อนจัดเวลานำมาป้อนเด็ก หากเด็กกินเหลือไม่ควรเก็บไว้
5) อาหารของเด็กจะต้องมีรสธรรมชาติ ไม่ควรใส่สารปรุงแต่งอาหารให้มีรสชาติเกินธรรมชาติ เช่น ไม่เค็ม หวาน เปรี้ยวเกินไป หรือไม่ควรใส่ผงชูรส 
6) ต้มหรือตุ่นข้าวจนสุกและ แล้วนำมาบดให้ละเอียด โดยใช้กระชอนหรือใส่ในผ้าขาวบางห่อแล้วบีบรูดออกหรือบดด้วยช้อนก็ได้ หรือตำข้าวสารให้ละเอียดให้เหมาะสมกับอายุของทารก แล้วจึงค่อยนำไปต้มให้สุก จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก 
7) สับหมู หั่นผักให้ละเอียดก่อนนำไปหุงต้ม ส่วนตับให้ต้มให้สุกแล้วต่อยยีให้ละเอียด 
8) ให้กินเนื้อปลาสุกโดยการย่าง หรือนึ่ง หรือต้ม ไม่ควรให้กินหนังปลา ระมัดระวังก้างปลาโดยเก็บออกให้หมด 
9) ให้กินน้ำแกงจืด (น้ำต้มผักกับเนื้อสัตว์สับละเอียด) ผสมกับข้าว โดยใช้แกงจืดหรือน้ำผัดผัก แต่ต้องไม่เค็ม 
10) เด็กที่มีอายุ 7 เดือนแล้วกินถั่วเมล็ดแห้งได้ อาจน้ำไปหุงต้มปนไปกับข้าว หรือจะนำไปทำเป็นขนมผสมกับน้ำตาลและนม


สาเหตุของการเลี้ยงดูเด็กที่บกพร่องที่ผู้เลี้ยงดูเด็กควรคำนึงและหาทางแก้ไขป้องกัน มีดังนี้ 
สาเหตุ 1 การขาดความรู้ทางโภชนาการ เช่น เข้าใจผิดคิดว่าอาหารราคาแพงเป็นอาหารที่ดี หลงเชื่อในคำโฆษณาอาหารนั้น ๆ มีสรรพคุณเกินจริง หรือเป็นความเชื่อเก่า ๆ ที่ยึดถือกันมา เช่น กินรังนกแล้วบำรุงปอด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด การแก้ไข ผู้เลี้ยงดูเด็กควรหาความรู้เรื่องโภชนาการอยู่เสมอจากสื่อต่าง ๆ ที่ทันสมัย เชื่อถือได้ แล้วเผยแพร่ต่อไปยังผู้ปกครองของเด็กและตัวเด็กให้มีวิจารณญาณในกากรเลือกกิน
สาเหตุ 2 ความยากจน ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่ไม่อำนวยในการจัดซื้ออาหารที่ดีมีคุณค่าแก่เด็กได้ การแก้ไข ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องจัดเลือกอาหารที่มีราคาถูกแต่คุณภาพดีทดแทนได้ให้เด็กกิน แล้วให้ความรู้แนะนำพ่อแม่เด็ก 
สาเหตุ 3 พฤติกรรมของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ให้ความสนใจต่ออาหารการกินของเด็ก เช่น จัดหาของที่ไม่มีประโยชน์ให้เด็ก ให้เด็กกินข้าวระหว่างการเดินทางหรืองดอาหารเช้า หรือปรนเปรอเด็กด้วยขนมของหวานไม่มีคุณค่า ทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอ การแก้ไข ผู้เลี้ยงดูเด็กควรจัดอาหารว่างช่วงเช้าที่มีคุณค่าให้แก่เด็กเพื่อเสริมหรือทดแทนอาหารมื้อเช้า แล้วให้ความรู้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องคำนึงถึงในการจัดอาหารให้แก่เด็กในแต่ละวัน คือ การจัดอาหารให้เด็กในวัยนี้ต้องมุ่งประโยชน์ไปที่ตัวเด็ก โดยสนับสนุนให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นที่พอใจของเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย
เป้าหมายของการจัดอาหารเพื่อพัฒนาการของเด็กในวัยนี้ควรครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้ 
1. เพื่อส่งเสริมสุขภาพและสุขนิสัยของเด็ก เด็กวัยนี้ต้องการอาหารที่มีคุณภาพทางโภชนาการในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องใช้พลังในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่น การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ แขน ขา ความสัมพันธ์ ระหว่างสมองและอวัยวะต่างๆ

2. เพื่อให้เป็นที่พอใจแก่เด็ก ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องจัดอาหารที่ถูกต้องตามรสนิยมของเด็กและกินได้อย่างสะดวกโดยต้องคำนึงถึงความคุ้นเคยของเด็กกับรสและกลิ่น มีรสธรรมชาติ เหมาะสมกับระบบการย่อยของเด็ก มีความอ่อนนุ่ม ย่อยง่าย ไม่เหนียว เคี้ยวได้ละเอียดง่ายสำหรับเด็ก แต่ไม่ถึงขนาดบดและเหลวเหมือนของเด็กเล็ก ผู้เลี้ยงดูต้องคำนึงถึงรสนิยมความชอบส่วนตัวของเด็กด้วย เช่น การแพ้อาหารบางชนิด เด็กมีปัญหาส่วนตัวไม่สามารถกินอาหารเหมือนเพื่อนได้ ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องดูแลเด็กเน้นกรณีพิเศษเป็นรายบุคคล ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องกำหนดเงื่อนไขการกินอาหารแก่เด็กโดยไม่ให้วิธีแข็งกร้าว เนื่องจากเด็กมาจากต่างครอบครัวต่างพื้นฐาน จึงต้องมาปรับตัวใหม่รับระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดการตอบโต้ จึงควรมีการจัดเวรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและใช้แนวปฏิบัติที่เหมือนกัน 
3. เพื่อเป็นการให้ความรู้ด้านโภชณาการที่ดีและบรรยากาศการกินอาหารตามสมควรแก่วัยแก่เด็กและผู้ปกครอง ผู้เลี้ยงดูเด็กควรสอดแทรกเรื่องการกินอาหารที่ดีลงในสื่อการสอนแก่เด็กเท่าที่จะทำได้เพื่อปลูกฝังความคิดที่ถูกต้อง และยังเป็นการสื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับทราบด้วย การให้ความรู้แก่เด็กเรื่องมารยาท การกินอาหารจะช่วยให้เด็กได้นำไปฝึกปฏิบัติที่บ้าน เช่น ไม่กินไปเล่นไป ไม่ใช้มือหยิบอาหาร เป็นต้น บทบาทของผู้เลี้ยงดูเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการด้านโภชนาการของเด็ก ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กตลอดทั้งวัน จึงเป็นผู้มีบทบาทเป็นอย่างมากกับเด็ก เด็กจะเชื่อฟังและพร้อมที่จะเลียนแบบผู้เลี้ยงดูเด็ก บทบาทสำคัญของผู้เลี้ยงดูเด็ก จึงมิใช่แต่เพียงจัดกิจกรรมให้แก่เด็กท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมของเด็กด้านสุขนิสัยในการกินอาหารด้วย การไม่กินผักบางชนิดโดยเลือกตักออก เมื่อเด็กเห็นก็จะเกิดการเลียนแบบอย่าง เพราะคิดว่าการที่ผู้เลี้ยงดูเด็กทำเป็นแบบอย่างที่ดี ดังนั้นผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดี เช่น กินอาหารหมดจานไม่เหลือทิ้ง ล้างมือก่อนกินอาหาร การแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง โดยอาจทำไปพร้อมกับ เด็ก ๆ ไปด้วย
ประโยชน์และคุณค่าของน้ำนม


     น้ำนมถือเป็นอาหารหลักที่มีความสำคัญสำหรับเด็กปฐมวัยทั้งในช่วง แรก คือ แรกเกิด-3 ขวบ และช่วงอายุ  3-5 ขวบในช่วงแรกเด็กทารก แรกเกิดต้องกินน้ำนมแม่เพียงอย่างเดียวจนอายุได้ 4เดือนจึงเริ่มให้ อาหารเสริม และเริ่มหย่านมเมื่ออายุครบ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง แต่เด็กยัง ต้องการนมอยู่ เพื่อนำสารอาหารโปรตีน และแร่ธาตุ วิตามินที่มีอยู่ใน น้ำนมไปเพื่อสร้างเสริมซ่อมแซมร่างกาย ดังนั้นหลังจากหย่านมแม่ ไปแล้ว เด็กจึงควรได้รับน้ำนมทดแทนในรูปของน้ำนมสัตว์ต่างๆเพื่อ ให้พัฒนาการของเด็กไม่สะดุดขาดตอนลง 
ภูมิต้านทานโรค
ในน้ำนมแม่จะมีระบบภูมิต้านทานโรคให้แก่ทารกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยผ่านจากรกเมื่อคลอดออกมาแล้วจะผ่านทางน้ำนมแม่ จนร่างกายของเด็กสามารถสร้างขึ้นเองได้ในภายหลัง จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าน้ำนมแม่มีคุณประโยชน์มาก สามารถสรุปได้ดังนี้
1) ในน้ำนมแม่จะมีสารอาหารครบถ้วนที่จะไปเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและร่างกาย
2) น้ำนมแม่ทีความสะอาดและปลอดภัยจากเชื้อโรค
3) ป้องกันโคต่าง ๆ ที่จะเกิดในเด็กทารกได้
4) มีความสะดวก แม่สามารถให้นมแก่ลูกได้ทุกเวลาไม่ต้องมีการเตรียมการ มีอุณหภูมิพอดี ไม่ต้องอุ่นให้ร้อน หรือทำให้เย็น
5) น้ำนมแม่สามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันให้แก่ลูกจนลูกสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเองได้
6) ประหยัด เพราะร่างกายของแม่สามารถสร้างน้ำนมเองได้ตลอดเวลา
7) ให้ทารกกินได้นานเท่าที่ทารกต้องการ
8) น้ำนมแม่มีปริมาณที่เหมาะสม ไม่ทำให้ทารกเกิดโรคอ้วน
9) น้ำนมแม่มีสารอาหารครบถ้วน เหมาะสมทำให้ทารกถ่ายสะดวกท้องไม่ผูก
10) เมื่อให้นมแก่ลูก แม่และลูกจะผูกพัน
อย่างใกล้ชิด เกิดความสุขและอบอุ่นทางจิตใจ
      น้ำนมจากสัตว์
เป็นของเหลวที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสร้างขึ้นเพื่อใช้เลี้ยงลูก จะมีคุณ ค่าทางโภชนาการสูง น้ำนมจากสัตว์ที่เรานิยมกินกันเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ น้ำนมวัว เนื่องจากมีส่วนประกอบที่ใกล้เคียงกับน้ำนมของคน มากที่สุด รองลงมาก็คือ นมแพะ นมแกะ นมกระบือ ซึ่งนิยมบริโภค เฉพาะในท้องถิ่น แต่ไม่เป็นที่นิยมเลี้ยงทารกเพราะจะมีไขมันและ โปรตีนสูงกว่าน้ำนมคนและน้ำนมวัวมาก
  น้ำนมจัดเป็นอาหารที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์มีคุณค่าทาง โภชนาการสูง มีลักษณะเป็นของเหลวสีขาวหรือเหลืองนวล มีรส หวานเล็กน้อยมีส่วนประกอบจากน้ำ โปรตีน ไขมัน น้ำตาลแล็กโทส และสารประกอบอื่น ๆ แยกได้ดังนี้ - น้ำ เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่

การจัดรายการอาหารและการจัดอาหารสำหรับเด็ก 
การจัดรายการอาหารสำหรับเด็กปฐมวัยจะเป็นการจัดอาหารสำหรับเด็กเมื่อมาอยู่ในสถาน คืออาหารหลัก 1 มื้อ และอาหารว่างพร้อมเครื่องดื่มในตอนเช้าและบ่ายอีก 2 มื้อ รวมเป็น 3 มื้อ อาจแยกได้ ดังนี้

1. อาหารหลัก เป็นอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการในการเสริมสร้างความเจริญเติบโต มีคุณค่าทางอาหารมาก เพื่อความสะดวก ของผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรจัดเป็นรูปแบบอาหารจานเดียวที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งคุณค่าทางโภชนาการและเด็กสะดวกในการกินอาหารจานเดียว หมายถึง อาหารที่ปรุงสำเร็จใส่มาในจานเดียวกินได้โดยไม่ต้องมีอาหารอื่น เป็นการประหยัดเวลาและแรงงาน กำหนดคุณค่าทางอาหารได้ชัดเจน เช่น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวทั้งน้ำและแห้ง ผัดมักกะโรนี ผัดไทย ซึ่งต้องมีอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เนื้อสัตว์ ผัก เด็กจะกินได้สะดวก ข้อดีของอาหารหลักประเภทอาหารจานเดียว คือ ไม่ต้องเสียเวลาประกอบอาหารมาก สามารถทำได้อย่างรวดเร็วใช้เครื่องมือเครื่องใช้ร้อย สามารถเพิ่มเติมส่วนประกอบได้ง่าย แต่ผู้ปรุงต้องมีความรู้ทางโภชนาการที่จะปรับปรุงอาหารให้ดูน่ากินโดยยังคงคุณค่า 
2. อาหารว่าง 
เป็นอาหารที่มิใช่อาหารคาวหรืออาหารหวาน แต่เมื่อเด็กกินแล้วจะอิ่ม ใช้สำหรับเสริมให้แก่เด็กก่อนกินอาหารกลางวันเวลา 10.00 น. เพราะเด็กบางคนอาจกินอาหารเข้ามาน้อยหรือไม่ได้กินเลย และก่อนกลับบ้านเวลา 14.00 น. เพื่อเสริมหากเด็กกินข้าวเที่ยงน้อยหรือมิให้ท้องว่างเกินไปก่อนกินอาหารเย็น ควรเป็นอาหารที่เตรียมง่าย หาได้ในท้องถิ่น เช่นชาละเปา ข้าวต้มมัด ฟักทอง นึ่ง ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู แซนวิชง่าย ๆ หลักการจัดอาหารว่างเสริมให้แก่เด็ก จะต้องจัดอาหารที่ให้แคลอรีและโปรตีน นอกจากนี้แล้วยังต้องให้วิตามินหรือสารอาหารที่เพิ่มเติมที่ยังขาดอยู่ให้แก่เด็กในตะวัน ทำได้ง่าย หาได้ในท้องถิ่น เด็กสามารถกินได้สะดวก ต้องไม่จัดอาหารด้อยคุณค่าให้แก่เด็ก เช่น ขนมกรุบกรอบเป็นซองที่ใส่สารชูรสมาก หรือขนมสำเร็จรูปใส่สี เช่น เยลลี่ ที่ไม่มีคุณค่าทางอาหารเพราะเด็กจะได้รับพิษจาอาหารเหล่านี้กินสะสมเป็นเวลานาน ๆ
3. อาหารหวาน 
เป็นอาหารที่สามารถเสริมคุณค่าของอาหารหลักได้ จะมีรสชาติหวานน้อยไปจนหวานมาก ผู้เลี้ยงดูเด็กไม่ควรเลือกอาหารที่ให้ความหวานแต่เพียงอย่างเดียว ควรเลือกขนมหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วย เช่น ของหวานระหว่างขนมวุ้นใส่น้ำเชื่อมกับขนมถั่วแดงน้ำเชื่อม ควรเลือกถั่วแดงที่จะให้คุณค่ามากกว่า โดยอาจใส่สีแดง



สถานที่ประกอบอาหาร 

¢ควรอยู่ไกลจากกองปฏิกูล น้ำครำ ควรเป็นที่ที่อากาศถ่ายเท เป็นโรงเรือนหรือห้องขนาดพอเหมาะกับปริมาณงาน ที่จะดำเนินการ ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แบ่งสัดส่วนของห้องให้ชัดเจน เป็นครัวยืน คือ ส่วนจัดเตรียมและประกอบอาหาร ส่วนหน้าเตา ส่วนล้างเก็บ อยู่ในลักษณะให้ผู้ประกอบอาหารเคลื่อนไหวได้โดยรอบต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละส่วน เช่น
¢ส่วนหน้าเตา ต้องเก็บเชื้อเพลิง เช่น ถ่าน แก๊ส ควร อยู่ในที่ปลอดภัย ไม่อัด แต่ต้องไม่มีลมโกรกมาก บริเวณส่วนของเปลวไฟจะทำให้เปลืองเชื้อเพลิง และ ควรมีที่พักเตาเมื่อประกอบ อาหารเสร็จใหม่ๆ
ส่วนประกอบอาหาร ควรมีที่เก็บของแห้ง เครื่องปรุง อุปกรณ์ในการหั่น ภาชนะที่ต้องใช้ใส่เตรียมอาหาร หลายขนาด
ส่วนล้างเก็บ ควรเป็นอ่างล้างชามแบบยืน ที่คว่ำชาม ก๊อกน้ำหรือตุ้มน้ำ เครื่องล้างจาน และที่ เก็บอุปกรณ์ที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ควรโปร่งแต่มิดชิด เพื่อกันแมลงสาบและหนูเข้าไป
ส่วนของพื้นครัว ควรเรียบไม่ลื่น ผนังครัวทำความสะอาดง่าย ไม่เก็บกักความสกปรก
¢โต๊ะที่จะทำครัวประกอบอาหาร ควรมีความสูงพอดีกับผู้ประกอบอาหาร คือ โต๊ะสูงประมาณ 40-45 นิ้ว ให้พอดีกับความสูงของคนทำครัว ใช้วัสดุที่ทำความสะอาดง่าย หุ้มโต๊ะประกอบอาหาร เพื่อความสะอาดและง่ายต่อการล้างทำความสะอาด 
เครื่องใช้สำหรับประกอบอาหาร

¢เครื่องใช้สำหรับประกอบอาหาร ได้แก่ โต๊ะ เตา ตู้ เก็บถ้วยชาม ภาชนะ เครื่องมือเครื่องใช้ ตู้ เก็บอาหาร ควรเลือกใช้ของที่มีความทนทาน ไม่ควรเลือกของถูก คุณภาพไม่ดี เพราะจะต้อง เสียค่าใช้จ่ายหลายครั้ง ควรเลือกของดีมีคุณภาพราคาปานกลาง เช่น
¢เตา ควรใช้เตาที่มีขนาดพอดีกับปริมาณอาหารที่จะ ประกอบในแต่ละครั้ง ไม่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เกินไป หากเป็นเตาถ่าน ควรใช้เตาประหยัดพลังงาน หากเป็น เตาแก๊ส ควรเลือกหัวเตาที่ให้ไปได้หลายระดับ ตาม ความเหมาะสม
ตู้เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ภาชนะ ควรปิดมิดชิดสามารถ กัน แมลงสาบและหนุได้ มีความกว้างลดหลั่นกันเพื่อ วางภาชนะได้หลายระดับ ไม่กินเนื้อที่ไม่กว่างหรือลึก เกินไป หรือสูงเกินไปหรืออยู่สูงเกินไปจนหยิบของยาก ตู้เก็บอาหารควรกรุด้วยมุ้งลวด และมีความมั่นคงของ รอยต่อของตู้ เพื่อกันมด แมลงสอบเข้าไปได้ ไม่อับชื้น ควรมีชั้นแยกของแห้งของสด
ภาชนะใส่อาหาร ควรใช้อะลูมิเนียมหรือหม้อเคลือบ ชนิดดีที่ไม่
กระเทาะ กระเทาะได้ ควรมีความหนาคงทนพอ ที่จะใส่อาหารแล้วต้องยกขึ้น-ลงได้โดยไม่บิดเปี้ยว ฝา ปิดสนิท มีที่จับมั่นคง
¢เขียง ควรใช้ไม้เปลือกแข็งเพื่อมิให้ยุ่ยเมื่อสับอาหาร ควรใช้เขียงขนาดใหญ่ ไม่ควรใช้หลายอัน เพื่อจะได้ขัดล้างทุกวัน
มีด ควรจัดเตรียมไว้ตามความจำเป็นต้องใช้ เช่น มีดสับ มีดหั่น มีดปอก เป็นมีดไม่เป็นสนิม มีความแน่นหนา จับกระชับ นอกจากนี้ยังอาจมีเครื่องปั่นเครื่องบดตามความจำเป็น
 ¢ที่สำหรับใช้ประจำ ได้แก่ จานกินข้าว จานใส่อาหาร ชามหรือถ้วยใส่แกง ช้อนกินอาหาร แก้วน้ำ ถาดหลุม มีหลักในการเลือกดังนี้ 

   - จากกินข้าว ควรเป็นจานแบน มีก้นลึก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 นิ้ว ไม่ควรใช้จานใหญ่เกินไป เด็กตักอาหารไม่สะดวก
- จานใส่อาหาร แบบเดียวกับจานกินข้าว แต่เล็กกว่า
- ชามหรือถ้วย สำหรับใส่น้ำแกง ควรมีขนาดเล็กพอเหมาะกับจานอาหาร
- ช้อนกินอาหาร ควรเป็นช้อนอะลูมิเนียมที่ไม่มีคมบาดปากเด็ก ไม่ควรใช้ช้อนเคลือบ หากให้เด็กกินช้อนส้อมปลายช้อนส้อมควรมนเล็กน้อย ไม่แหลมจนอาจเกิดอันตรายได้
- แก้วน้ำ ควรมีฝาปิด มีขนาดเหมาะมือสำหรับเด็กจับ มีหูจับที่มั่นคง
- ถาดหลุม ควรเป็นภาชนะอะลูมิเนียมขนาดหนา มีความทนทาน ไม่บุบง่าย แตะละช่องมีความลึก สามารถจุอาหารได้โดยไม่หกล้นออกมาเลอะขอบหรือไหลเข้าหากันได้ 
ข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อภาชนะ 
1.ภาชนะที่ใช้ประกอบอาหารและใส่อาหารต้องทำจากวัสดุที่ปลอดภัย ไม่ทำมาจากตะกั่ว หรือ สามารถหลอมละลายได้เมื่อถูกความร้อนหรอความเป็นกรดเป็นด่างของอาหาร สังเกตได้จาก การสึกกร่อน สีซีดจางของภาชนะเมื่อสัมผัสอาหารระยะหนึ่งแล้ว ควรทำจากอะลูมิเนียม ภาชนะเคลือบ สแตนเลส กระเบื้อง หรือเมลามีนที่มีคุณภาพดี ไม่ใส่สีจนสดมากเกินไป อาจละลายได้เมื่อถูกความร้อนหรืออาหารที่มีความมันหรือเป็นกรด
2. ควรจัดซื้อภาชนะที่เป็นชุดลักษณะใกล้เคียงกัน มีความสวยงาม รักษาความสะอาดง่าย ภาชนะพลาสติกสีสดเนื้อนิ่มไม่ควรซื้อ ภาชนะที่สะอาดสวยงามจะช่วยให้เด็กเจริญอาหารได้ เป็นการฝึกสุขนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หากอยู่ในท้องถิ่นที่ไม่สามารถจัดหาซื้อได้ ให้เน้นไปที่ความสะอาดและปลอดภัย 
3. ภาชนะใส่อาหารของเด็กปฐมวัย ควรเลือกที่มีความทนทาน ไม่แตกหัก ปิ่นง่าย แก้วน้ำดื่มสำหรับเด็ก  1-3 ปี จะต้องมีหูจับที่แน่นหนากว้างพอที่เด็กจะสอดนิ้วเข้าไปได้ มิให้พลัดตกจากมือ ไม่ควรแก้วที่อาจตกแตกได้หากไม่ระวัง และเศษแก้วอาจบาดเด็กหากเก็บกวาดไม่เรียบร้อย อาจทำด้วยสแตนเลสหรืออะลูเนียมชนิดดี กระบอกพลาสติกหรือกระบอกเคลือบชนิดหนาไม่แตกกระเทาะง่าย

สถานที่รับประทานอาหาร
เนื่องจากข้อจำกัดของสถานศึกษา ผู้เลี้ยงดูเด็กควรปรับสถานที่ที่เหมาะสมให้เด็กได้กินอาหาร โดยเฉพาะเพื่อเป็นการฝึกปรับการบริโภคของเด็ก และเพื่อความง่ายในการสร้างบรรยากาศ จึงต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

1. การเลือกสถานที่ ควรร่มรื่นเป็นสัดส่วน เพื่อมิให้เด็กวอกแวกสนใจสิ่งแวดล้อมมากกว่าอาหาร ไม่อยู่ใกล้ที่ทิ้งขยะมูลฝอยหรือคูน้ำเน่าที่จะส่งกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาอยู่ในทิศทางลมพัดผ่าน ไม่เกิดความอับชื้น ทำให้เด็กเกิดความอึดอัดควรเป็นอาคารที่สามารถกันฝนกันแดดได้ถาวร

2. การดูแลความสะอาด พื้นอาคารควรทำด้วยวัสดุไม่ลื่น ผนังทำความสะอาดง่าย มีสีสันสบายตา เพดานโปร่ง โล่ง ไม่มีหยากไย่ ตกแต่งด้วยต้นไม้หรือวัสดุที่เคลื่อนที่ง่าย ทั้งนี้ผู้เลี้ยงดูเด็กควรมีการปรับปรุงสถานที่ โดยการทาสีใหม่ปรับปรุงซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดหักพัง และรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด





ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุก ใช้สื่อที่่เข้าใจง่ายมาสอน เข้าสอนตรงเวลา
ระเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน ไม่มาสาย

ระเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน 


บันทึกอนุทินครั้งที่ 12 
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2561


อาจารย์ได้ให้นำเสนอเกี่ยวกับ คุณธรรม8 เรื่อง ที่ได้รับ กลุ่มเราได้เรื่อง"ประหยัด"


 เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความสำคัญในการพัฒนาจริยธรรมเป็นระยะที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาในทุกด้าน ครูควรเน้นพัฒนาความซื่อสัตย์ด้วยการสอนเด็กรู้จักการใช้ประโยชน์ของสิ่งต่างๆ การประหยัดอดออม การเห็นคุณค่าของน้ำ การประหยัดไฟ และอีกมากมาย

ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุก ใช้สื่อที่่เข้าใจง่ายมาสอน เข้าสอนตรงเวลา
ระเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน ไม่มาสาย
ระเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน 


บันทึกอนุทินครั้งที่ 11
วันอังคาร ที่ 27 เดือน มีนาคม พ.ศ.2561


วันนี้อาจารย์ได้ให้ออกมานำเสนองานที่บแต่ละกลุ่มได้ไปสัมภาษณ์ครูที่โรงเรียนต่าง ๆ
ว่ามีการเรียนการสอนอย่างไร ครูมีบทบาทอย่างไร มีการอบรมเลี้ยงดูุเด็กอย่างไร


ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุก ใช้สื่อที่่เข้าใจง่ายมาสอน เข้าสอนตรงเวลา
ระเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน ไม่มาสาย
ระเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน 

บันทึกอนุทินครั้งที่ 10
วันอังคาร ที่ 20 เดือน มีนาคม พ.ศ.2561



เรื่องที่เรียน
แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ความหมายของสิ่งแวดล้อม
1. สิ่งแวดล้อมภายในตัวบุคคล (implicit environment)  ได้แก่การทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหารระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมภายนอก (explicit environment) ได้แก่


สิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกกายของมนุษย์ เช่น วัตถุสิ่งของ คน พืช สัตว์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากคนและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) ได้แก่ ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมด้วย




ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมีความหมายและความสำคัญต่อเด็กเล็ก คือ
เด็กได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักบทบาทต่างๆ ในสังคม ทั้งในวัยเด็ก
และวัยผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน กระบวนการของการอบรมให้คนเป็น
สมาชิกของสังคมนั้น จะขึ้นอยู่กับเจตคติ ความคาดหวัง และค่านิยม
ของสังคมที่คนๆนั้นเกี่ยวข้องด้วย 

ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก
ปฐมวัยมีดังนี้

1. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ที่ได้จากการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากสัมพันธภาพทางสังคม
4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่วัยเด็ก



การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมในเด็กปฐมวัย

ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้

“จริยธรรม คือ หลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะที่ควร”

“จริยธรรม คือ หลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับนับถือ”

ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรม
โคลเบอร์ก 
เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อม ๆ กับความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัย จะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเอง และตามกฎเกณฑ์ที่ ผู้อื่นกำหนดโดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การหลีกเลี่ยงการลงโทษและการทำตามคำสั่ง เด็กวัยนี้จะประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะหลีกเลี่ยงการลงโทษความถูก ผิด ตัดสินโดยพิจารณาผล ถ้าถูกลงโทษถือว่าทำไม่ดีเด็กวัยนี้จึงยังไม่มีเหตุผลในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากปฏิบัติตามคำสอนของผู้ใหญ่
  ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังรางวัลส่วนตัว              
 เด็กจะนำความต้องการของตนมากำหนดสิ่งที่ถูกและผิด ถ้าหากปฏิบัติสิ่งใดแล้วได้รางวัลก็จะยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นการชมเชยและให้รางวัลเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม จึงเป็นวิธีสอนจริยธรรม ความประพฤติให้กับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยเหตุผลของตนเอง

สกินเนอร์ (Skinner) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เป็นผู้เสนอทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิม ถ้าเกิดขึ้นอีกจะเรียกผลพฤติกรรมนั้นว่า การเสริมแรงทางบวก แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นอีกเรียกผลของพฤติกรรมนั้นว่า การลงโทษ การอธิบายถึงการเรียนรู้ด้านจริยธรรมผ่านกระบวนการเสริมแรงและการลงโทษ หากเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีแล้วได้รับการชมเชย ยกย่อง คือ เด็กจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แต่หากแสดงพฤติกรรมใดแล้วถูกลงโทษ เด็กจะระงับหรือหยุดการกระทำนั้น ๆ ดังนั้นการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมของเด็กจึงขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่จะตัดสินว่า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เหมาะสม แล้วนำมาใช้ในการอบรมปลูกฝังเด็ก
แบนดูรา (Bandura) นักจิตวิทยาสังคม อธิบายว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้ โดยการสังเกตจากตัวแบบ ทั้งตัวแบบในชีวิตจริง หรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ตัวแบบจะทำหน้าที่ทั้งสร้างหรือพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรม และจะทำหน้าที่ในการระงับ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เด็กปฐมวัยจึงเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมจากตัวแบบ ผู้ใหญ่และสังคมจึงเป็นตัวแบบที่เด็กดูสังเกตและลอกแบบ การสอนจริยธรรมในแนวคิดนี้คือ การสร้างและเลือกตัวแบบที่ดีให้เด็กได้สังเกต สำหรับกระบวนการในการพัฒนาการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดนี้มี  4 ขั้นตอนคือ
:ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการตั้งใจ เป็นการที่เด็กได้เห็นตัวแบบที่น่าสนใจ ดังนั้นตัวแบบจึงต้องแสดงพฤติกรรมจริยธรรมที่ชัดเจน     ไม่ซับซ้อน และเมื่อเด็กสนใจแสดงพฤติกรรมที่ดีจะต้องมีการเสริมแรง เพื่อให้เด็กเกิดพฤติกรรมซ้ำ

:ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการเก็บจำ เมื่อเด็กสังเกตเห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมที่ดี และได้รับการยกย่องชมเชย และได้เห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมบ่อย ๆ เด็กเกิดความสนใจต้องการแสดงพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวแบบ เด็กจะหาวิธีเก็บและจดจำข้อมูลการแสดงพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับสถานการณ์
:ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการกระทำ เมื่อเด็กจดจำข้อมูลได้และเก็บไว้ในความคิดเมื่อเผชิญสถานการณ์ เด็กจะนำข้อมูลมาแสดงเป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของตัวแบบ เพื่อให้ได้ผลเหมือนตัวแบบ
:ขั้นตอนที่ 4 กระบวนการจูงใจ เมื่อเด็กสังเกตตัวแบบและจดจำข้อมูลไว้ และเมื่อเผชิญสถานการณ์ ถ้าหากมีการจูงใจและเด็กคาดว่าจะได้รับการเสริมแรง เด็กจะแสดงพฤติกรรมออกมา ดังนั้นถ้าหากเด็กแสดงพฤติกรรมดี จึงควรได้รับผลในลักษณะการเสริมแรงเหมือนตัวแบบได้รับ การจูงใจจึงเป็นสิ่งสนับสนุนให้เด็กแสดงพฤติกรรมจริยธรรม
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุก ใช้สื่อที่่เข้าใจง่ายมาสอน เข้าสอนตรงเวลา
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน ไม่มาสาย
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน 



บันทึกอนุทินครั้งที่ 14 วันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2561 หลังจากที่เราเรียนเรื่องอาหารและโภชนาการไปเรียบร้อย ก็มาสู่การปฎิบัติจริง อาจารย์ให้พวกเ...